Tales of Vesperia เป็นอีกหนึ่งเกมที่มีระบบเกมเพลย์ค่อนข้างซับซ้อนตามสไตล์ซีรี่ย์เทลล์ …แม้จะเป็นเกมเก่าแต่ระบบสำคัญค่อนข้างลึกซึ้ง มาลองทบทวนและสนุกไปด้วยกันอีกครั้ง
► Arte
ไม่ว่าจะเป็นคาถาหรือท่าไม้ตายที่ใช้ในการต่อสู้ล้วนเรียกรวมๆ กันว่า อาร์ท (Arte) ตัวละครแต่ละคนต่างมีอาร์ทหรือวิชาการต่อสู้เฉพาะตัว ซึ่งสามารถเรียนรู้เพิ่มได้จากการเลเวลอัพหรือเกิดการพัฒนาขึ้นเมื่อใช้บ่อยๆ รวมไปถึงการใช้อาวุธบางชิ้น โดยอาร์ทได้แบ่งย่อยออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
- Base – เบสิคอาร์ท เป็นวิชาพื้นฐานที่ใช้พลัง TP น้อยและออกท่าเร็วจนสามารถใช้ต่อจากการคอมโบปกติได้
- Arcane – เป็นวิชาขั้นแอดวานซ์ที่เกิดจากการรวมเอา Base อาร์ทสองท่ามารวมกันเป็นท่าใหม่ ใช้พลัง TP มากขึ้น และสามารถใช้ต่อได้หลังจาก Base Arte เพื่อเพิ่มจำนวนคอมโบ
- Altered – เป็นวิชาที่วิวัฒนาการขึ้นจาก Base Arte แต่ต้องติดตั้งสกิลบางอย่างก่อน และภายหลังจากใช้บ่อยๆ จนถึงระดับที่กำหนด (ประมาณ 100 ครั้ง) ก็จะเรียนรู้ได้เอง
- Burst – วิชาพิเศษที่ใช้ได้ต่อเมื่อเข้าสู่โหมด Over Limit แล้วเท่านั้น สามารถสร้างความเสียหายได้รุนแรงตามจำนวนเกจของ Over Limit ที่มี และการใช้ Burst Arte ไม่เสียค่า TP วิธีการคือ หลังจากใช้ Arcane Arte ในขณะที่อยู่ในสภาพ Over Limit ให้กดปุ่มวงกลม (ปุ่ม A) ค้างไว้
- Mystic – เป็นเหมือนท่าไม้ตายที่ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรียนรู้สกิลจากอาวุธบางชิ้นเสียก่อน แม้มีเงื่อนไขที่วุ่นวายแต่ Mytic Arte มีพลังรุนแรงเสียยิ่งกว่า Burst Arte เสียอีก
► Cooking
การทำอาหารเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฟื้นค่าพลัง HP และ TP หรือบางรายการยังช่วยเพิ่มค่าพลังอื่นด้วย วิธีการทำอาหาร ก่อนอื่นก็ต้องมีสูตรเสียก่อน โดยเราสามารถหาสูตรได้จาก Wonder Chef ที่อยู่ตามที่ต่างๆ และมักปรากฏตัวเป็นสิ่งของต่างๆ ที่แปลกตากว่าชาวบ้านชาวช่องเขา หรืออีกทางเลือกหนึ่งในการหาสูตรคือ ทำอาหารเดิมซ้ำจนเกิดการคิดเมนูใหม่ขึ้นมาได้เอง
หลังจากได้สูตรแล้ว ทีนี้ก็ต้องมาหาวัตถุดิบในการปรุง หาซื้อได้ตามร้านค้าในเมืองหรือดรอปจากศัตรู เมื่อได้วัตถุดิบแล้วก็เหลือแค่ลงมือทำเท่านั้น ซึ่งผลที่ออกมานั้นบางทีก็ไม่เป็นอย่างที่คิด อาจทำเสียได้ขึ้นกับความชำนาญของตัวละคร โดยสังเกตุจากดาวบนไอคอนหน้าตัวละคร สูงสุดอยู่ที่ 3 ดาว ยิ่งดาวเยอะยิ่งโอกาสสำเร็จสูงและมีโอกาสคิดเมนูใหม่ๆ ได้ง่าย
ทั้งนี้อาหารจะทำได้แค่ครั้งเดียวภายหลังการต่อสู้ ไม่ว่าจะปรุงสำเร็จหรือไม่ก็ตาม หากจะทำใหม่ต้องรอสู้จนจบอีกครั้งหนึ่งก่อน
► Encounter
เมื่อศัตรูเข้ามาสัมผัสกับตัวเรา จะเข้าสู่การต่อสู้ในทันที โดยสามารถแบ่งระดับของการเผชิญหน้าได้ 3 แบบด้วยกัน คือ
- Regular Encounter – เป็นการเผชิญหน้าแบบปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
- Surprise Encounter – เกิดขึ้นหากว่า ศัตรูเข้ามาทางด้านหลังของเรา สังเกตุได้จากหน้าจอจะเป็นสีแดง ผลของการเผชิญหน้าแบบนี้จะส่งผลให้สมาชิกในปาร์ตี้เกิดการสุ่มลงมา และตำแหน่งการยืนก็สับสน
- Advantage Encounter – เกิดขึ้นเมื่อใช้แหวน Sorcerer’s Ring ยิงใส่ศัตรูส่งผลให้เกิดอาการมึนงง พอเข้าไปแตะตัวมันก็จะเกิดความได้เปรียบกับฝ่ายเรา เพราะอีกฝ่ายยังมึนงงขยับตัวไม่ได้ระยะหนึ่งราว 5 วินาที

บางครั้งพอยิงใส่ศัตรูแล้วจะเกิดสภาพดังรูป ถ้าเป็นแบบนี้แม้จะสัมผัสตัวก็ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น
นอกจากการเผชิญหน้าทั้งสามแบบแล้ว หากว่าศัตรูที่เข้ามาสัมผัสตัวเรามีหลายตัว และอยู่ใกล้กันจะเกิดการลิงค์ขึ้นเรียกว่า Encounter Link ส่งผลให้มีจำนวนศัตรูเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลดีในด้านจำนวนค่าประสบการณ์ที่ได้ เงิน หรือไอเทมที่ดรอป
► Fatal Strikes
เมื่อทำการโจมตีศัตรูต่อเนื่อง บางครั้งก็จะเกิดเป็น Fatal Strike ขึ้นมา ส่งผลให้การโจมตีรุนแรงขึ้นอย่างมากและอาจกำจัดศัตรูได้ในทันที วิธีการก็ต้องคอยจังหวะที่มีไอคอนสีแดง น้ำเงิน หรือเขียว ปรากฏขึ้นมาจากนั้นก็กด R1 อย่างไรก็ตามจังหวะกดมีแค่ชั่วอึดใจราว 1 วินาทีเท่านั้น ที่สำคัญหากทำ Fatal Strike ได้ จะได้รับโบนัสพิเศษหลังจบการต่อสู้ เช่น ค่าประสบการณ์เพิ่มหรือเพิ่มโอกาสในการดรอปไอเทม
ทั้งนี้ การทำให้สัญลักษณ์ปรากฏขึ้นได้ ให้ลองกดเช็คตัวศัตรู (เมื่อได้รับการปลดล็อคฟีเจอร์นี้แล้ว) จะเห็นว่า มีเกจสัญลักษณ์ลูกศรสามสีขึ้นมาคือ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ทีนี้ก็ไปดูที่ Arte ของฝ่ายเราจะเห็นลูกศรแบบเดียวกันนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็จัดการจับคู่สีสัญลักษณ์ให้ตรงกับเกจที่เราต้องการ เช่น อยากลดเกจสีแดงก็ต้องใช้ Arte ที่มีสีแดง เล่นงานซ้ำไปมาจนหมดเกจก็จะเกิดเป็น Fatal Strike ขึ้น ส่วนสีของสัญลักษณ์นั้นหมายถึงโบนัสพิเศษที่จะได้หลังทำ Fatal Strike สำเร็จ ซึ่งโบนัสแต่ละสีไม่ตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามชนิดของศัตรู ดังนี้
- Human – สีน้ำเงิน หมายถึง เพิ่มค่าประสบการณ์, สีแดง คือ เพิ่ม LP และสีเขียวเป็นอัตราดร็อปไอเทม
- Beast & Magic – สีน้ำเงิน หมายถึง เพิ่มค่าประสบการณ์, สีแดง คือ เพิ่ม LP และสีเขียวเป็นอัตราดร็อปไอเทม
- Birds & Insect – สีน้ำเงิน หมายถึง เพิ่ม LP , สีแดง คือ อัตราดร็อปไอเทม และสีเขียวเพิ่มค่าประสบการณ์
- Plant & Aquatic – สีน้ำเงิน หมายถึง อัตราดร็อปไอเทม, สีแดง คือ เพิ่มค่าประสบการณ์ และสีเขียว Grades เพิ่ม LP
- Inorganic & Scales – สีน้ำเงิน หมายถึง เพิ่มค่าประสบการณ์, สีแดง คือ เพิ่ม LP และสีเขียวเป็นอัตราดร็อปไอเทม
► Grade
หลังจบการต่อสู้ทุกครั้งจะมีการตัดเกรด ส่วนจะดีหรือไม่ขึ้นกับการเล่นของเราเอง ผลงานที่ช่วยเพิ่มเกรดก็ต้องโชว์เทพเช่น เอาชนะศัตรูให้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 วินาที หรือชนะโดยไม่โดนโจมตีเลย ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม หากโดนโจมตีหรือตัวละครเกิดตายในการต่อสู้ ฯลฯ ก็ส่งผลลบต่อเกรด หรือการปรับระยะความยากง่ายของเกมก็มีผลเช่นกัน ที่สำคัญการได้เกรดดีก็ส่งผลต่อค่า LP ที่จะได้ด้วยเช่นกัน
เกรดที่สะสมไว้จะถูกนำไปใช้ภายหลังจากเคลียเกมแล้ว เอาไว้ใช้สำหรับในการเล่น Tales of Vesperia รอบใหม่
► Over Limit
ในเกม Tales of Vesperia โอเวอร์ลิมิตเป็นเหมือนกับพลังพิเศษที่ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกจทางซ้ายมือเต็มหลอด ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อทำการเล่นงานศัตรู เมื่อเข้าสู่โอเวอร์ลิมิตแล้วเราสามารถปลดล็อคการใช้ Burst กับ Mystic Arte ได้ โดยกดต่อเนื่องหลังจากใช้ Arcane หรือ Altered Arte และผลของโอเวอร์ลิมิตยังมีประโยชน์อื่นอีกตามระดับเลเวลดังนี้
- LV1 – โจมตีหรือใช้ Arte โจมตีต่อเนื่องได้
- LV2 – เหมือน LV1 และเพิ่มความรุนแรงกับศัตรูที่ล้ม
- LV3 – เหมือน LV2 และใช้ Arte ได้โดยไม่เสีย TP
- LV4 – รวมผลของทั้ง 3 เลเวล และทำให้ตัวละครเป็นอมตะชั่วคราวในระหว่างโอเวอร์ลิมิต
► Skill
สกิลเป็นตัวช่วยที่มีประโยชน์ต่อตัวละครในหลายๆ ด้าน อาทิเช่น เพิ่มค่าพลัง หรือการเคลื่อนไหวในระหว่างต่อสู้ โดยสกิลได้จากการเรียนรู้สกิลที่ติดอยู่ในอาวุธ และทำการสะสม LP ที่ได้จากการต่อสู้มาเพิ่มจำนวนจนเต็มก็จะได้สกิลนั้นติดตัวไปตลอด แม้ถอดอาวุธออกก็ไม่หายไป ถ้านึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงเกม FF9 ไว้ แบบเดียวกันเลย
ทั้งนี้ สกิลได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
- Attack – สกิลสายโจมตี มีสีแดงบ่งบอกไว้ และส่งผลต่อการโจมตีทั้งทางกายและเวทมนตร์ และอื่นๆ
- Guard – สกิลสายป้องกัน ใช้สีเหลืองเป็นตัวแสดง มีผลต่อการป้องกันตัว
- Move – สกิลสายเคลื่อนไหว ช่วยในเรื่องของการเคลื่อนที่ในขณะสู้ อาทิ กระโดดถอยหลัง หรือกลับตัวกลางอากาศ เป็นต้น
- Support – สกิลสีน้ำเงินสายสนับสนุน มักไม่ส่งผลโดยตรงต่อการต่อสู้ แต่จะมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อย่างเช่น ฟื้นพลังHP/TP หรือเพิ่มค่าประสบการณ์ที่ได้รับหลังการต่อสู้
► Symbols
ซิมโบลหรือสัญลักษณ์เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องจากสกิล โดยจะเกิดขึ้นเมื่อทำการผสมสกิลได้ตามเงื่อนไข และจะปรากฏให้เห็นทางด้านขวามือของใบหน้าตัวละครในเมนูสกิล ซิลโบลมีประโยชน์มากเมื่ออยู่ในสภาพ Over Limit สามารถแบ่งซิลโบลออกได้ดังต่อไปนี้
- CHROCS – เพิ่มระยะเวลาของ Over Limit
- FLECK – เพิ่มพลังโจมตีทางกายขณะอยู่ในโหมด Over Limit
- GOLDS – เพิ่มจำนวนเงินที่ได้รับหลังต่อสู้ โดยต้องชนะในขณะอยู่ในสภาพ Over Limit
- KAON – ฟื้นค่า TP ในขณะ Over Limit
- LAYTOS – ฟื้นค่า HP ขณะอยู่ในสภาพ Over Limit
- NHOSING – ไม่มีผลพิเศษใดๆ
- ROCKRA – เพิ่มพลังป้องกันทางกายขณะ Over Limit
- SANDOR – เพิ่มพลังโจมตีเวทมนตร์ขณะ Over Limit
- STRIHM – เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ขณะ Over Limit
- TWORY – เพิ่มจำนวนเงินที่ได้รับหลังต่อสู้ โดยต้องชนะในขณะ Over Limit
► Synthesis
ระบบการตีไอเทม เพียงแค่หาวัตถุดิบที่จำเป็นแล้วก็มาที่ร้านและเลือกไปที่หัวข้อ Synthesis วัตถุดิบสามารถหาได้จากจุดเก็บบนแผนที่ ซึ่งเมื่อเก็บไปแล้วต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะกลับคืนมาใหม่ หรือได้จากการดรอป (หรือขโมย) ของศัตรู
เรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
http://www.megaxgame.com/home/tag/bandai-namco-entertainment/
http://www.megaxgame.com/home/tag/dissect-zone/