
เป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียแล้วครับ สำหรับการ Ban Fortnite! หนึ่งในเกมแนว Battle Royal ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเกมหนึ่ง มีผู้เล่นไปทั่วทั้งบน PC PS4 Switch X1 รวมถึงบน iOS และ Android ทว่าตอนนี้โดนแบนจาก Apple Store และ Play Store เสียแล้ว
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเกม Fortnite กันนะครับ ผมเองไม่ได้เล่นแต่ก็รู้จักและเคยดูบ่อย ๆ เกมนี้ถือว่าเป็นเกมออนไลน์ในรูปแบบการต่อสู้ตะลุมบอลหมู่ (Battle Royal) ที่ได้รับความนิยมมากเกมหนึ่ง ซึ่งเกมนี้สามารถโหลดเล่นได้ฟรีแทบทุกแพลตฟอร์มเลยนะครับ เกมนี้ผลิตโดยค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Epic Studio และก็ออกมาตั้งแต่ 21กรกฎาคม ปี 2017 โน่นแน่ะครับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ได้มีการประกาศแบนเกม Fortnite จากทั้ง Apple Store และ Play Store เหตุผลหลัก ๆ นั้นมาจากการกระทำที่ละเมิดกฎของ Apple Store ซึ่ง Google ก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
การละเมิดกฎของ Fortnite
เราคงต้องย้อนกลับไปในวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมาครับ เมื่อ Fortnite นั้น ได้ทำการประกาศโปรโมชั่นลดราคา Fortnite MEGA Drop ลดราคาค่าเงิน V – Bucks ของเกมลง 20% ซึ่งการลดราคานี้ ได้ดำเนินการในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น PS4 X1 Switch และ PC ทว่าไม่ได้ลดบน Mobile
การลดราคาคงไม่ได้ทำให้เกิดอะไรขึ้น ถ้า Epic ไม่ได้ประกาศให้ผู้เล่นบนมือถือ สามารถซื้อ V-Bucks ได้โดยตรงจากทาง Epic เอง โดยการซื้อตรงนี้จะลดราคาลง 20% เหมือนกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ และนั่นก็แน่นอนครับ ใครจะซื้อเงินในเกมผ่านระบบอีก เมื่อเสียเงินถูกลง 20% ผลก็คือ Apple และ Google ประกาศแบน Fortnite ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ผู้เล่นใหม่ไม่สามารถโหลดเกมได้ และ what is Fortnite กลายเป็นคำเซิร์จที่มีผู้ค้นหามากที่สุดใน Google
ทำไม Epic ถึงต้องใช้วิธีนี้ เหตุผลง่าย ๆ ทุกแอพพลิเคชั่นที่ซื้อขายผ่านระบบของ Apple Store หรือ Play Store จะต้องจ่ายเงินให้กับระบบ 30% ดังนั้นแม้ว่า Epic จะลดราคาถึง 20% แต่การขายตรงเขาก็ได้มากกว่าการขายบน Apple Store หรือ Play Store ถึง 10% แต่ว่า Epic จะทำเพียงเพราะเงินแค่นี้จริง ๆ หรือ?
เหตุผลในการแบน
เหตุผลของ Apple ในการแบนเกม Fortnite นั้น คือการที่ Epic ได้มีการละเมิดระเบียบสำคัญของ Apple Store ซึ่งการซื้อขายต่าง ๆ จะต้องทำในระบบ Apple Store และต้องผ่านการตรวจสอบ ซึ่งพวกเขาได้ทำลายระบบของ App Store ซึ่งวางไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ซึ่งเขายืนยันว่า Epic ยอมรับระบบการทำงานของ Apple Store และพวกเขาก็พัฒนาเกมบนระบบ ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าพวกเขาจะไม่ทำตามกติกาของระบบได้ พวกเขาต้องการจะแก้ไขปัญหานี้ร่วมกับ Epic เพื่อนำเกม Fortnite กลับมายังระบบอีกครั้ง
ในขณะที่ google ก็มีความชัดเจนเช่นเดียวกันว่า เรามีกติกาในการดำเนินการของ Play Store เพื่อการปกป้องผู้เล่น เมื่อ Fortnite ได้ทำลายกติกาของพวกเรา เราจึงไม่สามารถให้เกมนี้อยู่บนระบบ Play Store ของพวกเราได้ เรายังต้องการเจรจากับ Epic เพื่อนำ Fortnite กลับมายัง Play Store อีกครั้ง
Epic ฟ้อง Apple และ Google
เรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ เมื่อ Epic Game Studio ได้ดำเนินการฟ้องร้องทั้ง Apple และ Google ในฐานะผู้ผูกขาดตลาด หรือ Monopoly ซึ่งการเรียกเก็บเงินค่าบริการถึง 30% มันสูงมากเกินไป โดยมากแล้วการค้าขายผ่านระบบจะมีค่านายหน้าประมาณ 3% เท่านั้น
เหตุผลที่ Epic ได้ทำระบบการจ่ายเงินตรง ก็เพื่อวาง “กับดัก” ให้ Apple และ Google ถลำเข้ามาแบนเกมของพวกเขา และจัดการฟ้องร้องพวกเขาให้เป็นข่าว เป้าหมายของการฟ้องไม่ใช่การแบน Fortnite แต่เป็นการมองถึงระบบที่ไม่เป็นธรรมของทั้งสองค่าย
Epic ได้กล่าวถึงแอปเปิ้ลว่า ในปี 1984 ที่พวกเขาออกแมคอินทอช พวกเขาได้โปรโมทด้วยวีดีโอ ซึ่งส่งความหมายถึงพวกเขาได้ทำลายการผูกขาดตลาดของ IBM ลงแล้ว จากการออกเครื่องแมคอินทอชสำหรับคอนซูเมอร์ออกมา วีดีโอโปรโมทที่มีชื่อเสียงว่า คุณจะได้เห็นว่าทำไมปี 1984 ถึงไม่เหมือนกับปี 1984
Epic ยังได้กล่าวว่า ในปัจจุบัน Apple เป็นยักษ์ใหญ่ที่กำลังทำการผูกขาดตลาดเสียเอง พวกเขากำลังพยายามควบคุมตลาด ป้องกันคู่แข่ง และผูกขาดนวตกรรม ด้วยขนาดมาร์กตแคปถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พวกเขากำลังจะกลายเป็นยักษ์ผูกขาดตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ดังนั้น Epic จึงได้ออกวีดีโอมามา โดยมุ่งกลับมาตอกย้ำ Apple โดยมีเนื้อหาถึงสถานะของแอปเปิ้ล ว่าเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ และบล็อกผู้เล่นที่มีโทรศัพท์กว่าร้อยล้านเครื่องไม่ให้เข้าถึงเกมของพวกเขา
นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวถึง Google ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่า จากถ้อยคำของ Google ที่บอกว่า Don’t be Evil แต่ว่า 22 ปีให้หลัง ตอนนี้พวกเขากลายเป็น Evil เหนือคู่แข่ง เหนือนักค้นคิดนวตกรรม เหนือลูกค้าและ เหนือผู้ใช้ Google เข้าครอบงำตลาดหลากหลายรูปแบบ (Stew Market) พวกเขากำลังจะเป็นผู้ผูกขาดตลาดในหลาย ๆ รูปแบบที่ใกล้เคียงกัน ปฏิเสธที่จะให้อิสระแก่ผู้ใช้ในการใช้งานโทรศํพท์ของตนอย่างอิสระเสรี อย่างที่ Google ได้บอกกับผู้ใช้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น
ผู้สนับสนุนที่หลากหลาย
จากการออกมาวางแผนเพื่อแหกคอก ทำลายเพดานของ Apple และ Google นี้ Epic ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างมากจากทั้งผู้เล่นเกม Fortnite เอง และเดเวอลอปเปอร์อื่น ๆ อย่างเช่น สปอร์ติไฟ (Spotify) แอพฟังเพลงชื่อดัง ได้ออกมาสนับสนุนการกระทำของ Epic โดยระบุว่า พวกเขาพยายามต่อสู้กับ Apple มาสักพักหนึ่งแล้ว โดยพวกเขายืนเคียงข้าง Epic ในการต่อสู้ครั้งนี้ และมองว่านี่คือแสงสว่างที่สาดส่องลงมา
Spotify ยังระบุว่า Apple ได้พยายามผูกขาดตลาด ทำลายคู่แข่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกมานานแล้ว ผู้พัฒนาไม่ว่าใหญ่หรือเล็กไม่สามารถทำการแข่งขันบนแฟลตฟอร์มของพวกเขาได้ ซึ่ง iOS ควรให้ความยุติธรรมในการแข่งขันเกิดขึ้น
Spotify, which has had a long-running battle with Apple and filed an antitrust complaint of its own, weighs in on Epic v Apple. Spoiler: Spotify supports Epic. pic.twitter.com/FPNLmRNYBx
— Peter Kafka (@pkafka) August 13, 2020
ในขณะที่อีกเจ้าที่เป็นแอพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง Blue Mail ได้กล่าวว่าพวกเขาขอยืนเคียงข้าง Epic ในการต่อสู้ พวกเขาต่อสู้กับ Apple ในศาลมากว่าหนึ่งปีแล้ว ในการต่อสู้เพื่อตลาดที่ไม่เป็นธรรมของแอ็ปเปิ้ลใน App Store Practice ซึ่งเขามองว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจ
We are united with @TimSweeneyEpic in the fight against Apple's monopolistic practices. @BlueMail has been fighting Apple in court for almost a year. Together, our antitrust cases touch a broad range of Apple's unfair App Store practices. This is a turning point for the industry.
— Ben Volach (@benvol) August 14, 2020
ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมากที่มองว่าตลาดของ Apple และ Google ไม่ได้รับความยุติธรรม และการต่อสู้ของ Epic นั้นถือเป็นการจุดประกายให้พวกเขาเหล่านี้มองว่ามีโอกาสที่จะปลดแอกจากการเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงมากของ App Store และ Play Store ได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ Epic
เอากันจริง ๆ Tim Sweeney CEO ของ EPIC ไม่ได้พึ่งพูดหรือคิดทำเรื่องนี้ พวกเขามีปัญหากับไมโครซอฟท์มาแล้ว ในความพยายามวางระบบให้มีการอินสทอลเกมผ่านแอพลิเคชั่น เช่นเดียวกัน เขาทำ Epic Game Store มาแข่งกับ Stream ที่เก็บค่าคอมมิสชั่นถึง 30% ด้วยการประกาศเก็บคอมมิชชั่นเพียง 12%
เมื่อมีการต่อสู้ระหว่าง DICE กับ Apple และ Google เขาก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า Android นั้นเป็น Fake Open System (ซึ่งก็จริง 555) เขายังทวิตโจมตี Apple ในเรื่องของ คลาวด์เกมมิ่ง เนื่องจาก Apple เองไม่อนุญาตให้ระบบอื่น ๆ อย่างเช่น X Cloud หรือ Stadia รวมถึง GeForce อยู่ในระบบของพวกเขา และลามไปถึงเกมอย่าง Fortnite Minecraft และ Roblox ด้วย
Apple has outlawed the metaverse.
— Tim Sweeney (@TimSweeneyEpic) August 6, 2020
The principle they state, taken literally, would rule out all cross-platform ecosystems and games with user created modes: not just XCloud, Stadia, and GeForce NOW, but also Fortnite, Minecraft, and Roblox. https://t.co/OAGC7cXfSl
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
เรื่องนี้จะยังคงอยู่ที่ศาลกันต่อไป แต่ในมุมมองของเรา เรื่องนี้น่าสนใจอย่างมากทีเดียว เมื่อมีผู้ที่สามารถกำหนดตลาด กำหนดคู่แข่งของตนเอง กำหนดสิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับทั้งหมด โดยไม่สามารถเลือกได้ แต่จริง ๆ ก็มีแพลตฟอร์มสองแพลตฟอร์มให้เลือก นั่นจะถือเป็นการผูกขาดตลาดได้จริงหรือไม่ แต่การเลือกใช้แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แล้วสิ่งที่อยู่ในตลาดนั้นถูกกำหนดไว้แล้วแต่แรก ก็อาจจะทำให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกจริงก็เป็นได้
แต่ที่แน่ ๆ พื้นฐานของการใช้งานระบบเปิด อย่าง PC อาจจะทำให้การใช้งานพบกับความไม่เถียรอยู่บ้าง แต่จุดเด่นก็คือการที่เราสามารถปรับเปลี่ยนระบบทุกอย่างของเราได้เองทั้งหมด แม้ว่าไมโครซอฟท์จะพยายามบีบอยู่บ้าง แต่ก็ทำได้ไม่มากนัก
ท้ายที่สุด บางคนอาจจะเลือกอยู่ในกรงขัง แล้วใช้เฉพาะสิ่งที่มีแล้วพอใจ หรือบางคนจะเลือกสิ่งที่ไปได้กว้างกว่า ที่แน่ ๆ การต่อสู้ระหว่าง Epic กับ Apple และ Google น่าจับตามองมากครับ ว่าจะเปลี่ยนแปลงตลาดได้จริงหรือไม่